UFABETWIN คนที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ ควรโอบอุ้ม, ใส่ใจและมอบสัญญาใหม่ให้ที่สุดในทีม ณ เวลานี้ โรแบร์โต้ ฟีร์เมียโน่
เขาคนเดียวที่เปรียบเสมือนคนสวนที่ถางหญ้าด้วย 2 ประตูพลิกแซง กลาส์โกว์ เรนเจอร์ส เพื่อเปิดทางให้เพื่อนๆเทปูนลาดยางต่ออีก 5 เม็ดก่อน ลิเวอร์พูล บุกถล่มเละเทะ 7-1
ถ้าใครไม่ได้ดูบอกได้คำเดียวว่าครึ่งแรกฟอร์มของ “หงส์แดง” บดซบโคตรๆ ถูกเจ้าถิ่นข่มจนเล่นสเปะสปะ เกมรับล่กจัดจนกระทั่งถูกยิงขึ้นนำไปก่อน (อีกแล้ว)
ฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ อ่อนแอโดนแซะโดนชนปลิวกระจายและเป็นคนเริ่มต้นเสียบอลก่อนถูก สก็อตต์ อาร์ฟิลด์ ยิงขึ้นนำตั้งแต่นาทีที่ 17
เกมสวนกลับเมื่อได้บอลกลับมาครอบครองคือ “0” ขึ้นไม่ได้เลยทำให้ เรนเจอร์ ยิ่งไม่กลัวและเกือบมีลูก 2 ตามมาด้วย
ลูกโขกจากเตะมุมของ บ๊อบบี้ ในนาที 24 ทำให้ “หงส์แดง” กลับมานิ่งขึ้นแต่โดยรวมแล้วแฟนบอลอยากให้จบครึ่งแรกไวๆเพราะบอลบุกไม่ขึ้นไร้ทรงจริงๆ
ช่วงพักครึ่งกลับมาลงสนามเราได้เห็น ลิเวอร์พูล ที่ “ตาสว่าง” หลังถูก “ชวนเชื่อ” มาพักใหญ่
การขึ้นเกมทำชิ่งต่อบอลกันไวขึ้นจะเห็นได้จากลูกที่ ฮาร์วี่ย์ เอลเลีตต์ (ครึ่งแรกออกทะเล) โหม่งชิ่งไวให้ โจ โกเมซ เปิดบอลดีกว่า เทรนต์ ให้ “ฟีโน่” เข้าฮอร์ต เป็นรูปแบบการเข้าทำที่ควรเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ครึ่งแรกแล้ว
การที่ ลิเวอร์พูล ขึ้นนำและประตูไหลมาเรื่อยๆทำให้นักเตะหลายๆคนเริ่มเล่นแบบมั่นใจโดยเฉพาะ เอลเลียตต์ ที่พลิกจากซากศพในครึ่งแรกโดดเด่นสุดๆทั้งการลากเลื้อย เชื่อมเกม กล้าเลี้ยงกล้ายิงจนกระทั่งซัดสวยๆลูก 7 ปิดท้าย
แข้งแซมบ้าวัย 31 ปีไม่ใช่แค่ยิง 2 ประตูแต่การเก็บบอลจ่ายให้เพื่อนเล่นต่อ ความนิ่งเมื่อถูกเพรสยังคง ไม่เคยแก่ เห็นทีไรก็ไม่เคยเบื่อ
เป็นคนเดียวที่ทำให้เกมง่อยๆในครึ่งแรกของ ลิเวอร์พูล ยังพอลืมตาอ้าปากได้เล็กน้อย
แอสซิสต์ “ท่ายาก” ของ ฟีร์เมียโน่ ทำให้สถานการณ์ของทีมเยือนหอมหวานเข้าไปอีก
เพราะนอกจากทำให้สกอร์ห่างเล่นง่าย 3-1 คนยิงคือ ดาร์วิน นูนเญซ ที่ทุกๆประตูนับจากนี้จะเป็นผลดีต่อความมั่นใจตัวเขาเองและทีมจะได้รับประโยชน์ต่อมา
จุดพีคของเกมนี้แสงไปฉายที่ โม ซาลาห์ กับแฮทริคที่เร็วที่สุดใน UCL หลัง “อียิปต์คิง” ใช้เวลาแค่ 6 นาที (75,80,81)
อย่างที่ผมบอกเอาไว้ในบทความก่อนว่าที่ผ่านๆมา ซาลาห์ ยินริมเส้นเป็นปีกโบราณซึ่งเสียของจนกระทั่งเกมนี้ได้ยืนหน้าเป้าและทำให้เราได้เห็นภาพเก่าๆในอดีตกับการเอียงตัว “ปั่นโค้งๆ” ที่เป็นเครื่องหมายการค้าในเกมนี้ในที่สุด
จาก 7 ลูกที่ “หงส์” ทำได้ในเกมนี้แม้ เรนเจอร์ส คุณภาพจะห่างชั้นจาก พรีเมียร์ลีก อยู่หลายขุมแต่อาจสะกิดสูตรการยืนตำแหน่งใหม่ให้ เจเค ที่ผมขอเคยพูดเอาไว้ว่าควรต้องปรับและลองในเกมที่เสี่ยงน้อยอย่างเช่นเกมนี้
ผมไม่เชื่อว่า คล็อปป์ จะมองข้ามไอเดียให้ โม ยืนหน้าเป้า อย่างน้อยๆก็ต้องมีแว่บๆในหัวตอนนี้บ้างแล้ว อยู่ที่จะจัดอย่างไรให้ นูนเญซ ยืนเป้า โมหน้าต่ำหรือ ฟีโน่ ต่ำ โม เป้า
การเอาไปยืนปีกขวาเพื่อหลีกทางให้คนอื่นๆยืนตามตำแหน่งแลกกับโอกาสในการทำประตู ตอนนี้บอกได้คำเดียวว่าเสียดายแทน
โดยส่วนตัวผมชอบสไตล์การเล่นของ โชต้า มาก ทุกๆครั้งที่แข้ง โปรตุกีส เล่น สิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้คือไม่หวือหวา ไม่มีสับขาหลอก ไม่มีทริคแต่แย่งยาก เทคนิคการเลี้ยงติดเท้า เปลี่ยนสปีดการแตะหนี แต่เล่นมีประสิทธิภาพหวังผลได้
การเอาบอลที่ โรเบิร์ตสัน จุดพลุจากแดนหลังลงนิ่มๆเหมือนเอาหลอดดูดก่อนทำแฮทริค “แอสซิสต์” ให้ ซาลาห์ บอกถึง class บอลได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม ด้วยความเคารพ… เรนเจอร์ส ให้อารมณ์เหมือนพวกเราสมัยเรียนที่นับวันรอให้ถึงวันหยุดเพื่อตื่นมาดูการ์ตูนช่อง 9 ของน้าต๋อย เซมเบ้ หลังอมทุกข์กับการเรียนมาทั้งสัปดาห์
กล่าวคือเป็นแมทช์ที่มาคั่นกลางเพิ่มชัยชนะให้ ลิเวอร์พูล เป็นเกมที่ 2 ติดต่อกันก็ไม่ผิดนัก
ปัญหาที่เคยเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่เคยถูกแก้ การถูกคู่ต่อสู้ยิงนำไปก่อนคือประสบการณ์ที่โคตรเลวร้ายและเห็นทีไรก็รู้สึกเบื่อหน่าย
11 จาก 13 เกมแล้วที่เราได้เห็นหน้าหวอๆของ คล็อปป์ กับสกอร์ตามหลัง
เราจะรู้สึกมั่นใจได้อย่างไรในเมื่อทีมกลางๆทีมเล็กๆ “หงส์” โดนยิงโดนปั่นป่วนอย่างหนัก นับประสาอะไรกับ แมนฯซิตี้ ที่มีตัวยิงตัวอันตรายทั่วทุกสนาม
ข่าวดีประจำวันนี้คือได้เห็น แอนดี้ โรเบิร์ตสัน กลับมาลงสนามเพราะผมไม่ไหวกับ คอสตาส ซิมิคัส ที่เล่นห่วยแทบทุกนัด โดนกระชากหายมาหลายนัด ความเขี้ยวทางบอลไม่เหลือแล้ว
นี่ยังไม่พูดถึงการครอสหรือการเอาตัวรอดที่ก๋องแก๋งมาก เช่นเดียวกัน โกเมซ ที่อุตสาห์ชมนัดที่แล้วแต่กลับมาเป็น “โกเหม่อ” ตามเดิมไม่ว่าจะลูกคืนหลังแบบไม่มองจนไปส่งให้เขาหรือเหวอบอลลั่นจนถูกฉกและไปทำฟาว์ลเขาในตำแหน่งที่เป็นตัวสุดท้ายซึ่งโชคดีไม่ถูกไล่ออก
หากมีใครถามผมว่าชนะไส้ไหล 7 ลูกแบบนี้ ลิเวอร์จะคัมแบ็มไหม ขอตอบตรงๆเลยละกันว่าอยู่ที่คุณภาพคู่แข่งด้วยและบอลอย่าง เรนเจอร์ส จะมีซักกี่ทีมครับ
ก่อนจะคัมแบ็คหรืออะไรก็ตามแต่ “หงส์” ต้องเริ่มจากไม่เสียประตูเร็วเป็นอันดับแรกครับ แสดงให้เห็นว่าปัญหาเรื้อรังถูก “แก้ไข” แล้วเรื่องอื่นค่อยๆขยับตาม
ทั้งหมดทั้งมวลคือคุณภาพการเล่นที่มาตรฐานไม่ผ่าน อย. เราไม่เห็นอะไรแบบนี้จากทีมระดับสูง ยิ่งได้ดู นาโปลี เล่นกับ อาแย็กซ์ ก่อนหน้านี้เหมือนอยู่คนละโลก
จ่าฝูงกัลโช่เข้ารอบไปแล้วด้วยการขยี้ทีมจากดัทช์ไป 4-2 ด้วยการเล่นที่ดุดัน พลิ้วทุกตัว เอาตัวรอดในสถานการณ์ 1-1 เนียนกริบ มูฟเมนท์ของผู้เล่นตัวรุกจับยากเหลือเกิน
จากสถานการณ์หลังจบแมทช์ 4วัน ทำให้ “หงส์” ขอแค่ 1 แต้มจากการไปเยือน อาแย็กซ์ ในเกมรองสุดท้ายในวันพุธที่ 26 ตุลาคมก็จะเข้ารอบน็อกเอาท์ทันที
ถ้าผ้าป่าคว่ำที่ อัมส์เตอร์ดัม ก็ยังเหลือนัดสุดท้ายกับ นาโปลี (ที่เข้ารอบไปแล้ว) เป็นใบชุบรออยู่
แม้เกมนี้ โม จะขโมยซีนกับแฮทริคที่เร็วที่สุดใน UCL แต่พระเอกและแม่งานของเกมนี้พวกเราทุกคนยกให้ “ฟีร์เมียโน่” คนเดียวแบบเอกฉันท์ครับ…
สถิติ สถิติ สถิติ
โม ซาลาห์ ยิงแฮทริคภายใน 6 นาทีกับอีก 12 วินาทีนับเป็นการทำแฮทริคที่เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของรายการ แชมเปี้ยนส์ลีก
นับตั้งแต่มีการเก็บสถิติใน UCL เริ่มในซีซั่น 2003-04 มีแฮทริคเกิดขึ้น 112 ครั้งโดย โม ซาลาห์ สัมผัสบอลแค่ 9 ครั้งในเกมกับ เรนเจอร์ส นับเป็นนักเตะที่ถูกบอลน้อยที่สุดใน 112 แฮทริคที่เกิดขึ้น
ดิโอโก้ โชต้า แอสซิสต์ ให้ ซาลาห์ ทั้ง 3 ลูกทำให้กลายเป็นนักเตะคนแรกที่ปั้นเพื่อนทำแฮทริคใน UCL นับตั้งแต่ปี 2012 หลัง ฟร็องก์ ริเบอรี่ เคยจัดให้ มาริโอ โกเมซ แฮทริค ให้ บาเยิร์น มาแล้วในเกมพบ บาเซิ่ล
ไม่มีใครอีกแล้วที่ทำแอสซิสต์ใน UCL ให้ ลิเวอร์พูล มากไปกว่า โรแบร์โต้ ฟีร์เมียโน่ (12 เท่ากับ สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด และ เจมส์ มิลเนอร์)
บ๊อบบี้ เหมา 2 เม็ดในเกมเดียวเป็นครั้งที่ 6 ใน UCL เทียบเท่า ซาลาห์ ที่เคยทำไว้ 6 ครั้งเช่นกัน