UFABETWINS ลีดส์ ยูไนเต็ด จัดเป็นหนึ่งในสโมสรคู่บุญ-คู่บวชของฟุตบอลอังกฤษมาช้านาน
โด่งดังและตูมตามมากที่สุดในยุคเซเว่นตี้ส์จากการทำงานของ ดอน เรวี่ หนึ่งในปรมาจารย์ลูกหนังระดับ “แกรนด์ กูรู ออฟ ฟุตบอล”
ฉายาภาษาไทยโดยนักข่าวรุ่นบรมครูยุคโน้น คือ “ยูงทอง” เหตุเพราะเมื่อก่อนสัญลักษณ์ของพวกเขาคือ “นกยูง” บวกกับชุดแข่งสีเหลืองอร่ามจึงสังวาสกันออกมาเป็น “ยูงทอง” ก่อนเปลี่ยนตราสโมสรเป็นตัวอักษรย่อ LUFC และกุหลาบขาว อันเป็นสัญลักษณ์ของแคว้นยอร์คเชียร์ในเวลาต่อมา
ตั้งแต่ยุคกลาง 60’s จนถึงยุคกลาง 70’s ลีดส์ ยูไนเต็ด คือทีมระดับพญายักษ์ของอังกฤษที่มีลุ้นแชมป์มาโดยตลอด พวกเขาคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เมื่อฤดูกาล 1968-69 แล้วเชือดเฉือนแชมป์เรื่อยมาจนกลับมาคว้าแชมป์ ดิวิชั่น 1 ได้สำเร็จอีกครั้งในฤดูกาล 1973-74
คว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ในปี 1972 และเข้าชิงอีกครั้งในปี 1973
หลังจากพุ่งขึ้นถึงจุดน้ำแตกในฤดูกาล 1973-74 ดอน เรวี่ ก็ลาออกไปคุมทีมชาติอังกฤษ ฤดูกาลต่อมา ลีดส์ ทะยานเข้าชิงชนะเลิศ ยูโรเปี้ยน คัพ น่าเสียดายที่ต้านทานความแข็งแกร่งของ บาเยิร์น มิวนิค ไม่ไหว

นับแต่นั้นก็เริ่มดำดิ่ง
กระทั่งฤดูกาล 1981-82 พวกเขาตกชั้น กว่าจะกลับขึ้นมาใหม่ก็ต้องรอถึงฤดูกาล 1990-91
พวกเขาได้ชื่อว่าเป็นทีมสุดท้ายที่คว้าแชมป์ลีกสูงสุดในชื่อว่า “ดิวิชั่น 1” ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็น “พรีเมียร์ชิพ” และ “พรีเมียร์ลีก” เมื่อ 1992
1999-2000 ลีดส์ ยูไนเต็ด จบฤดูกาลด้วยอันดับ 3 ในตารางจนได้รับสิทธิ์เข้าไปโชว์ฝีแข้งในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
ปีเตอร์ ริดส์เดล ผู้เป็นประธานสโมสรในตอนนั้นมองการณ์ไกลจึงไปกู้เงินจำนวนมหาศาลจากธนาคาร เพื่อเอาไปกว้านซื้อตัวผู้เล่นระดับดาวดังมาเสริมทัพ
ฤดูกาล 2000-01 พลพรรคยูงทองที่ประกอบด้วยผู้เล่นระดับอ๋องอย่าง ริโอ เฟอร์ดินานด์, โจนาธาน วู๊ดเกต, โดมินิค มัตเตโอ, แดนนี่ มิลล์, เอียน ฮาร์ท, เดวิด แบ็ตตี้, โอลิวิเย่ร์ ดากูต์, แฮร์รี่ คีเวลล์, อลัน สมิธ และ มาร์ค วิดูก้า ทะลุเข้าถึงรอบตัดเชือก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
แต่ผลจากการทุ่มเทในรายการนี้แบบ ‘เอาตาย’ ส่งผลให้พวกเขาจบฤดูกาลด้วยอันดับ 4 ของพรีเมียร์ลีกจนอดไปเล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก ในซีซั่นหน้า (ตอนนั้นอังกฤษได้โควต้า 3 ทีม)
ฤดูกาล 2001-02 อังกฤษได้โควต้าไปเล่นในถ้วยใหญ่ยุโรปเพิ่มขึ้นอีก 1 ทีม แต่พวกเขากลับพุ่งเข้าเส้นชัยเป็นอันดับที่ 5

การอดไปเล่นในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก นี่แหละครับทำให้สถานการณ์ทางการเงินของ ลีดส์ ยูไนเต็ด สั่นคลอนอย่างจงหนัก เพราะเมื่อไม่มีแหล่งขุมทรัพย์ให้ตักตวง
ความชิบหายก็มาเยือน
เมื่อรายจ่ายมากกว่ารายรับ
เมื่อหนี้ที่ติดธนาคารออกดอกเบี้ยแบบบานเบอะ
นักเตะระดับดาวดังเริ่มวิ่งออกจากเครื่องแบบของทีมยูงทองไปทีละคน 2 คน รวมถึงผู้จัดการทีมผู้ปลุกปั้นอย่าง เดวิด โอเลียรี่
ฤดูกาล 2002-03 ลูกทีมของ เทอร์รี่ เวนาเบิ้ลส์ ล่วงหล่นลงไปอยู่อันดับที่ 15 ขณะนักเตะระดับดาราก็ทยอยถูกปล่อยออกจากทีมเป็นระยะ
ฤดูกาล 2003-04 ลีดส์ จำใจต้องขายกำลังสำคัญอย่าง แฮร์รี่ คีเวลล์ กับ โอลิวิเย่ร์ ดากูต์ ออกจากทีม ก่อนจบด้วยอันดับที่ 19 อันหมายถึงการตกชั้นจนต้องเลหลังดาวเตะที่พอเหลืออยู่บ้างอย่าง อลัน สมิธ, พอล โรบินสัน, เจสัน วิลค็อกซ์ และโดยไม่เว้นแม้แต่ดาวรุ่งพุ่งกระฉูดแตกในตอนนั้นอย่าง เจมส์ มิลเนอร์ ออกไปอีก
นับตั้งแต่บัดเดี๋ยวนั้นยันเดี๋ยวบัดนี้ ลีดส์ ยูไนเต็ด ยังไม่ได้กลับขึ้นมาบนสมรภูมิแข้งอันดัลหนึ่งในเมืองมนุษย์อีกเลย
แต่หากไม่มีอะไรผิดพลาดระดับ “ก็อดซิลล่าบุกถล่ม” เมื่อเกมฟาดแข้งกลับมาเซิ้งกันอีกครั้ง ลีดส์ ยูไนเต็ด น่าจะเป็นหนึ่งใน 2 ทีมที่ได้เลื่อนชั้นขึ้นมาบนพรีเมียร์ลีกแบบอัตโนมัต หลังจากหายหน้าหายตาไปนานถึง 16 ปี

ศัตรูอันดับหนึ่งของ ลีดส์ ยูไนเต็ด ก็คือ แมนฯ ยูไนเต็ด นี่แหละ
ไม่ใช่แค่เรื่องประวัติศาสตร์ “สงครามกุหลาบ” ที่ถูกนำมาผูกกันให้การศึกคู่นี้มีความเดือดดาลมากยิ่งขึ้นเท่านั้น ผมพบว่าในช่วงยุคปลาย 60’s ลีดส์ ยูไนเต็ด คือคู่ขับเคี่ยวของปีศาจแดง ที่แก่งแย่ง แข่งขัน ห้ำหั่น เชือดเฉือนแชมป์กันอย่างถึงพริกถึงขิง
เหนือสิ่งอื่นใด แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นทีมที่ชอบดูดเอาขวัญใจแฟนบอลของทีมยูงทองไปเป็นของตัวเอง
ตัวอย่างเช่น กอร์ดอน แม็คควีน, โจ จอร์แดน, เอริก คันโตน่า และ ริโอ เฟอร์ดินานด์
ไม่แปลกใจทำไมแฟนบอลของ ลีดส์ ยูไนเต็ด ถึงจงเกลียด & จงชัง แมนฯ ยูไนเต็ด ยิ่งกว่าขี้ราดกะทิสดที่ลอยคอพลางแสยะยิ้มอยู่ในโถส้วม
ว่าแล้วก็มีประสบการณ์ตรงมาเล่าให้อ่านกันครับ
เหตุเกิดสมัยที่ผมถูกส่งไปตะบันชีวิตที่เมืองหลวงแห่งลูกหนังเมื่อ 2002
คืนหนึ่งในเมืองลีดส์
ผมพาลูกทัวร์ดูบอลบางคนที่มากับ ‘สยาม สปอร์ต’ ไปตะลุยราตรี
แล้วสวรรค์หรือนรกก็ไม่ทราบที่ลิขิตให้ไปรู้จักกับฝรั่งหัวทองคนหนึ่ง ซึ่งเป็นแฟนบอลระดับเดนตายของ ลีดส์ ยูไนเต็ด ในผับ
เราคุยกันถูกคอ ก็คุยกันเรื่องฟุตบอลนี่แหละ ถูกคอเสียจนพี่เขาชวนอาคันตุกะจากเมืองไทยไปเที่ยวต่อในยามราตรีที่ยาวนานนัก
เขาพาเราเข้าร้านนั้น ออกร้านนี้ ทั้งสุราสถานประจำท้องถิ่นอย่างผับ- ไนต์คลับ และดิ๊ดจะโก้เธค

เขาแสดงความจริงใจออกมาจนผมรู้สึกละอาย
ละอายที่ไม่ได้บอกความจริงกับเขาว่าเราเป็นเด็กผี
ตอนเดินออกจากไนต์คลับแห่งหนึ่งเวลาประมาณตี 3 เศษๆ ด้วยฤทธิ์ L-ก-ฮ ที่ห้าวหาญอยู่ในสายโลหิต ไทยแลนด์บอยอย่างผมจึงตัดสินใจบอกความจริงกับเขา
…ว่าแล้วก็ถลกแขนเสื้อให้เขาดูรอยสักปีศาจถือสามง่ามบนไหล่ซ้าย ก่อนยิ้มแห้งๆ พลางสารภาพตามตรงว่า…
‘กูเป็นเด็กผีว่ะ !!!’
เท่านั้นแหละ…พี่แกก็เกิดอาการคุ่มคลั่งยิ่งกว่าโคถึกที่นึกพิโรธโกรธแล้วเมายาบ้า โวยวายเสียงดังลั่นจนฟ้าแทบถล่ม ประมาณว่า “ทำไมมึงถึงทำกับกูแบบนี้…ไอ้ชิบหายยยยย ทำไมมึงทำแบบนี้ ก่อนสบถออกมาเป็นภาษาอังกฤษว่า…ก็อดแดมน์ ดั๊มพ์ชิด สติวปิด แอนด์ มาเธอร์ฟัคเกอร์”
ทันใดพี่เขาก็ยกถังขยะขนาดใหญ่ที่วางอยู่ข้างถนนขึ้นแล้วทุ่มลงพื้นแตกกระจาย เพื่อเป็นการระบายอารมณ์
ผมยังจำโมเมนต์นั้นได้แม่นยำ
แม้ ลีดส์ ยูไนเต็ด จะนั่งเบียดกับความตกต่ำมาตั้งแต่ปี 2004 แต่ฐานแฟนบอลของพวกเขาก็ยังเหนียวแน่นแบบเหลือกำลัง
เอลแลนด์ โร้ด บ้านของพวกเขา ปัจจุบันมีความจุผู้ชม 37,890 คน
ตอนตกชั้นจากพรีเมียร์ลีกไปใหม่ๆ ยอดผู้ชมหายไปร่วมหมื่นคนเลยทีเดียว

เข้าใจว่าน่าจะหมดอารมณ์ อันนี้ถือเป็นเรื่องธรรมชาติ
อย่างไรก็ตาม
ขนาดโดนถีบกระเด็นซ้ำสองจนตกลงไปอยู่ในระดับ ลีก วัน ค่าเฉลี่ยผู้ชมต่อนัดที่ เอลแลนด์ โร้ด ก็ยังตกอยู่ที่ประมาณ 23,000 – 25,000 คน เลยทีเดียว
ถามว่าทำไม ???
คำตอบคือความรักสโมสรมันฝังลึกลงไปในก้นบึ้งของหัวใจ และ ลีดส์ ยูไนเต็ด คือสโมสรฟุตบอลประจำท้องถิ่นของพวกเขา ถ้าไม่เชียร์ทีมบ้านเกิดตัวเองแล้วจะให้ไปเชียร์ทีมไหน
ไอ้ที่ผมเอาเรื่องนี้มาเล่าสู่เสียยาวเหยียดก็มิใช่อะไร
คือหลังจากที่เกิดวิกฤตศรัทธาขึ้นกับสโมสร เมืองทอง ยูไนเต็ด เมื่อพวกเขาปล่อยตัวดาวดังระดับทีมชาติไทย 2 คนสุดท้ายอย่าง อดิศร พรหมรักษ์ กับ สารัช อยู่เย็น ออกจากทีม
แน่นอนว่ามันย่อมนำมาซึ่งโทโสแฟนบอลเป็นธรรมดา เพราะก่อนหน้านี้ก็ขายผู้เล่นระดับมหาดาราออกไปจนแทบจะไม่เหลือใครที่เป็นดาวดังแล้ว

แฟนบอลบางคนบอก “พอกันที”
แฟนบอลบางคนบอก “มันจบแล้ว
แฟนบอลบางคนบอก “ลาก่อน”
และอื่นๆ อีกมากมายที่แสดงเจตนาว่า “กูเลิกเชียร์แล้ว”
รากแก้วของบอลไทย และนาทีนี้ยังไม่ได้หยั่งลึกลงไปจนกลายเป็นวัฒนธรรมเหมือนในประเทศต้นตำรับลูกหนังอย่างอังกฤษที่มีฟุตบอลอาชีพมายาวนานกว่า 100 ปีนะครับ อันนี้ผมเข้าใจ
โกรธได้ เซ็งได้ หงุดหงิดได้ และเกิดอาการอยากกระโดดเตะหน้าคนได้ครับ เพราะผมก็คงตกอยู่ในอาการห่อเหี่ยวเช่นกันที่สโมสรปล่อยดาวดังออกไปแบบนี้จนแทบมองไม่เห็นความสำเร็จที่ปลายทาง
แต่ก็เหมือนกับสิ่งที่บังเกิดขึ้นกับ ลีดส์ ยูไนเต็ด นั่นแหละ
ถ้าไม่มีปัญหา ถ้าไม่จำเป็น ไม่มีสโมสรไหนในโลกและดาวอังคารอยากทำแบบนี้หรอก
ดังฉะนั้นจึงโมโหได้ ด่าได้ เบื่อได้ เพราะเราไม่ใช่หุ่นยนต์ที่ไร้อารมณ์และความรู้สึก
เพียงแต่ขอว่าอยู่ให้เป็น เย็นให้พอ และรอให้ได้
แฟนบอลตัวจริง เขาเชียร์ทีม เชีบร์สโมสรนะครับ
ไม่ได้เชียร์ เพราะดาวเตะระดับ “ซูเปอร์สตาร์” สักหน่อย
คลิกเลย >>> ufawin
คลิกเลย >>> https://www.lesrouesdelespoir.com/