UFABETWINS “ผมบอกทุกคนในวงการฟุตบอลเสมอว่าบอลข้ามเส้นไปเป็นเมตร” เซอร์ เจฟฟ์ เฮิร์สต์ กล่าว

30 กรกฎาคม 1966 สิงโตคำราม ทีมชาติอังกฤษ สร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์โลกครั้งแรกและครั้งเดียวในบ้านตัวเอง หลังเอาชนะ เยอรมันตะวันตก ในช่วงต่อเวลาพิเศษไปอย่างสุดมัน 4-2 จากการซัดแฮตทริกของ เจฟฟ์ เฮิร์สต์
อย่างไรก็ดีประตูที่สองที่อดีตกองหน้า เวสต์แฮม ทำได้นั้น เต็มไปด้วยข้อกังขา เมื่อจังหวะที่เขายิงไปเช็ดคาน บอลกระดอนลงบนพื้นอย่างรวดเร็ว จนแทบมองไม่ทันว่ามันข้ามเส้นไปหรือยัง แต่ผู้ช่วยผู้ตัดสินก็ให้ลูกนี้เป็นประตู
นับตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ก็ผ่านมากว่า 70 ปีแล้วที่ผู้คนยังถกเถียงกัน และนี่คือการพยายามหาคำตอบในเรื่องนี้
แชมป์โลกสมัยแรกและสมัยเดียว
อังกฤษ มักจะถูกยกย่องในฐานะต้นตำรับของฟุตบอลสมัยใหม่ เนื่องจากพวกเขาคือชาติแรกของโลกที่ก่อตั้งสมาคมฟุตบอลขึ้นในปี 1863 แถมยังเป็นชาติแรกที่มีลีกฟุตบอลอาชีพถือกำเนิดขึ้นในปี 1888
อย่างไรก็ดี หากพูดถึงความสำเร็จ เรียกได้ว่าอาจห่างไกลกับคำนี้อยู่พอสมควร เมื่อในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 พวกเขาไม่เคยแม้แต่เข้าชิงชนะเลิศการแข่งขันระดับโลกอย่าง ฟุตบอลโลก ขณะที่เหรียญทอง 3 ครั้งในโอลิมปิกปี 1900, 1908 และ 1912 ก็เป็นในนามของทีมสหราชอาณาจักร ซึ่งมี สกอตแลนด์, เวลส์, ไอร์แลนด์ และ ไอร์แลนด์เหนือ เป็นส่วนหนึ่งด้วย (ก่อนที่ไอร์แลนด์ กับ ไอร์แลนด์เหนือ จะแยกตัวออกไปในปี 1924)
จนกระทั่งในปี 1966 อังกฤษก็มามีความหวัง เมื่อพวกเขาได้รับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกเป็นครั้งแรก ทำให้พลพรรคสิงโตคำรามหมายมั่นปั้นมือกับทัวร์นาเมนต์นี้เป็นพิเศษ และหวังจะได้ชูถ้วย จูลส์ ริเมต์ ต่อหน้าแฟนบอลของตัวเอง
และดูเหมือนการได้เล่นในบ้านจะทำให้อังกฤษทำผลงานได้ดีเป็นพิเศษ พวกเขาคว้าแชมป์กลุ่มในรอบแรก โดยไม่เสียแม้แต่ประตูเดียว ก่อนจะปราบทั้ง อาร์เจนตินา และ โปรตุเกส จนผ่านเข้าชิงชนะเลิศได้สำเร็จ
ทว่าคู่ต่อกรในนัดชิงฯ ของพวกเขาก็ไม่ธรรมดา นั่นก็คือเยอรมันตะวันตก เจ้าของแชมป์โลกปี 1954 และอันดับ 4 ฟุตบอลโลกที่สวีเดนในอีก 4 ปีต่อมา แถมเกมรุกของพวกเขาก็ดุดัน เมื่อซัดไปถึง 13 ประตูจาก 5 นัดก่อนนัดชิงชนะเลิศ
อย่างไรก็ดีอังกฤษไม่ได้เกรงกลัวอยู่แล้ว แม้พวกเขาจะถูกนำไปก่อนจากลูกยิงของ เฮอร์มุต เฮลเลอร์ ตั้งแต่นาทีที่ 12 แต่ เจฟฟ์ เฮิร์สต์ ก็มาตีเสมอได้อย่างทันควันในนาทีที่ 18 จนกระทั่งนาทีที่ 78 มาร์ติน ปีเตอร์ส ปีกซ้ายของทีมก็มายิงให้เจ้าภาพเป็นฝ่ายขึ้นนำในนาทีที่ 78
แต่ทัพอินทรีเหล็กก็ไม่ยอมแพ้ พวกเขามาตามตีเสมอก่อนหมดเวลาเพียงแค่นาทีเดียวจาก โวล์ฟกัง เวเบอร์ แนวรับของทีมที่ซ้ำลูกขลุกขลิกหน้าปากประตูเข้าไป และทำให้ต้องต่อเวลาพิเศษออกไปอีก 30 นาที
ช่วงต่อเวลาพิเศษ กลายเป็นอังกฤษที่ทำได้ดีกว่า เมื่อมาได้เพิ่มอีกสองประตูในนาทีที่ 101 และ 120 เอาชนะไปได้ด้วยสกอร์ 4-2 และทำให้พวกเขาคว้าแชมป์โลกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
มันน่าจะเป็นการปิดฉากที่สมบูรณ์แบบกับการได้ชูถ้วยแชมป์โลกต่อหน้าเพื่อนร่วมชาติ หากแต่ 1 ใน 2 ประตูของเฮิร์สต์นั้นเต็มไปด้วยความกังขา
เข้าไปหรือยัง ?
ประตูดังกล่าวเกิดขึ้นในนาทีที่ 101 จากจังหวะที่ เฮิร์สต์ ได้บอลจาก อลัน บอล ก่อนที่เขาจะเกี่ยวกลับมาแล้วยิงยัดไปที่เสาแรก บอลเช็ดคานแล้วกระดอนลงพื้นในสภาพก้ำกึ่ง แต่เป็นผู้เล่นอังกฤษที่แสดงความดีใจและบอกว่าลูกนี้เป็นประตู
แน่นอนว่าผู้เล่นอังกฤษและแฟนบอลอังกฤษ มองว่าลูกนี้ต้องเป็นประตูอย่างแน่นอน รวมไปถึงเฮิร์สต์ผู้ยิงประตูนั้น ที่แม้ว่าเขายอมรับว่าไม่ได้เห็นเหตุการณ์อย่างชัดเจน แต่เขาก็ “เชื่อ” ว่าบอลได้ข้ามเส้นไปแล้ว
“ผมบอกทุกคนในวงการฟุตบอลเสมอว่าบอลข้ามเส้นไปเป็นเมตร” เซอร์ เจฟฟ์ เฮิร์สต์ กล่าวกับ FIFA.com
“ผมยิงบอลแบบหมุนตัวยิงแล้วก็ล้มลง ดังนั้นผมจึงมีมุมมองที่แย่มาก และลูกบอลก็เด้งอยู่ข้างหลัง (ฮานส์) ทิลคอฟสกี (ผู้รักษาประตูเยอรมัน) ดังนั้นผมจึงไม่เห็นมัน แต่ผมเชื่ออย่างสุดหัวใจว่าบอลข้ามเส้นไปแล้ว และความเชื่อนั้นก็ค่อนข้างชัดสำหรับผม”
“ผมไปฉลองกับ โรเจอร์ ฮันต์ เขาวิ่งไปฉลองทันทีที่เขาเห็นด้วยตาตัวเองว่าบอลเข้าไป เขาตะโกนว่า มันเป็นประตู และผมก็คิดแบบนั้น”
เช่นกันกับ คีธ วัลดรอน ที่เป็น 1 ใน 8 ของลูกเสือที่นั่งอยู่หลังประตู หลังเขาไปรับจ๊อบเป็นคนช่วยเอาม้วนฟิล์มที่ถ่ายเสร็จแล้วของช่างภาพไปส่งที่ห้องนักข่าวในสนาม เขาบอกว่าดูเหมือนว่าบอลจะเข้าไปแล้ว
“ผมอยู่ในมุมที่ดีที่สุดสำหรับประตูของ เจฟฟ์ เฮิร์สต์ จากมุมที่ผมเห็น มันดูเข้าไปแล้ว แต่ก็ไม่แน่ใจหรอก เพราะหลังจากนั้นเราก็ต่างกระโดดฉลองด้วยความดีใจ” วัลดรอน ที่ตอนนี้อายุ 71 ปีกล่าวกับ The Mirror
“ผมมั่นใจว่ามันเป็นประตู และโชคดีที่ผู้กำกับเส้นชาวรัสเซียช่วยเรา”
คลิกเลย >>> https://www.ufabetwins.com/
อ่านเพิ่มเติม >>> บ้านผลบอล